tag:blogger.com,1999:blog-38331502960981741432024-02-20T10:19:10.914-08:00แนวข้อสอบ สรุปกลยุทธ์ การตลาด การจัดการโลจิสติกส์ การเงิน การจัดการ บัญชี modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.comBlogger47125tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-44651123835698213542020-05-25T20:59:00.002-07:002020-05-25T20:59:34.166-07:00การจัดการความรู้ หรือ KM : Knowledge Management <strong style="background-color: rgba(255, 255, 255, 0.6); font-family: THSarabunNew, Arial, "Arial Unicode MS", Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; text-align: justify;">การจัดการความรู้ หรือ KM : Knowledge Management</strong><span style="background-color: rgba(255, 255, 255, 0.6); font-family: THSarabunNew, Arial, "Arial Unicode MS", Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; text-align: justify;"> คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ 1) ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม 2) ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ระบุว่าการจัดการความรู้สามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ 4) บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-72318639615115069042020-05-25T20:58:00.001-07:002020-05-25T20:58:12.500-07:00 กฎของอุปทาน (Law of Supply) <span style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> <b> <span lang="TH">กฎของอุปทาน </span>(Law of Supply) </b><span lang="TH">จะอธิบายถึงพฤติกรรมของผู้ผลิตในการแสวงหากำไรสูงสุด กฎของอุปทานกล่าวว่า </span>“<span lang="TH">ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตเต็มใจจะนำออกขายในระยะเวลาหนึ่งขึ้นอยู่กับราคาสินค้านั้นๆ ในทิศทางเดียวกัน</span>” </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณอุปทานจะเพิ่มขึ้น</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">เนื่องจากผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมากขึ้น</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">เพราะคาดการณ์ว่าจะได้กำไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">เมื่อราคาสินค้าลดลงปริมาณอุปทานจะน้อยลง เนื่องจากคาดการณ์ว่ากำไรที่ได้จะลดลง</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปทานจึงเป็นเส้นที่มีลักษณะที่ลากเฉียงขึ้นจากซ้ายไปขวา</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", serif; font-size: 16pt; text-indent: 48px;">ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยตัวอื่นๆที่มีผลต่ออุปทานมีค่าคงที่</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-84578608986389141092019-08-14T23:26:00.003-07:002019-08-14T23:26:23.249-07:00การจัดการเชิงกลยุทธ์<ol style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #222222; font-family: Taprom; font-size: 18px; margin-bottom: 26px; padding: 0px;">
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">เป็นการกำหนดกรอบหรือทิศทางการทำงานขององค์กรให้ชัดเจน โดยการเขียนวัตถุประสงค์ของ องค์กรไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะทำให้เลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม</li>
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">ช่วยให้ผู้บริหารปรับตัวตามสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ และสามารถปรับทิศทางการ ดำเนินงานได้สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น</li>
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">สร้างความพร้อมให้กับองค์กร <em style="box-sizing: border-box;">การจัดการเชิงกลยุทธ์</em>ทำให้องค์กรมีการวิเคราะห์และประเมิน ปัจจัยต่างๆภายในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ เป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้</li>
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">ช่วยสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับองค์กร เสริมสร้างการพัฒนาขีดความสามารถส่งผลให้เกิดความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน</li>
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">ช่วยให้การทำงานสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากมีการกำหนดกลยุทธ์และการควบคุมตรวจสอบไว้อย่างชัดเจน</li>
<li style="box-sizing: border-box; font-size: 15px; line-height: 26px; margin-left: 21px;">ทำให้องค์กรมีมุมมองการบริหารอย่างครอบคลุม เนื่องจากการบริหารเชิงกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อการบริหารองค์กรทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก</li>
</ol>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-70851947672244926162018-12-04T10:34:00.003-08:002018-12-04T10:34:54.368-08:00Marketing research<span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 14px; text-indent: 35px;">การวิจัยการตลาด (Marketing research) นั้นคือการทำวิจัยเพื่อนำข้อสรุปมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาดโดยนำข้อมูลจากการทำวิจัยนั้นมาวิเคราะห์ทางสถิติและนำมาคีความอีกครั้งหนึ่ง นักการตลาดหรือผู้บริหารจะนำข้อมูลจากการตีความเหล่านี้เพื่อวางแผนการตลาด อีกทั้งข้อมูลเหล่านั้นยังใช้ในการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทางการตลาด (Market environment) ของบริษัทด้วย นักวิจัยการตลาดนั้นจะใช้วิธีการต่าง ๆ ทางสถิติ เช่น การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) การตรวจสอบสมมติฐาน (Hypothesis tesing) การทดสอบไคแสควร์ (Chi-squared testing) การถดถอยเชิงเส้น (Linear regressing) สหสัมพันธ์ (Correlations) การแจกแจงความถี่ (Frequency distributions) การแจกแจงแบบปัวส์ซง (Poisson distributions) การแจกแจงแบบทวินาม (Binomial distribution) เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลดิบที่ได้มาตีความให้กลายเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ในเชิงธุรกิจได้ กระบวนการทำวิจัยทางการตลาดนั้นมีหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ การกำหนดปัญหา การกำหนดระเบียบวิธีวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลและการตีความข้อมูล และการนำเสนอข้อมูล ข้อมูลหลังจากการทำวิจัยนั้นจะถูกเสนอให้กับผู้บริหาร ดังนั้นข้อมูลที่นำเสนอนั้นจะต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบันมากที่สุด ความแตกต่างระหว่างการวิจัยการตลาด (Marketing research) และการวิจัยตลาด (Market research) คือ การวิจัยตลาดนั้นเป็นการทำวิจัยเพื่อศึกษาตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น บริษัทต้องการทำวิจัยเพื่อศึกษากลุ่มเป้าหมายของตลาด (Target market) หลังจากที่แบ่งกลุ่มตลาด (Market segment) เรียบร้อยแล้ว ในทางกลับกัน การวิจัยการคลาดจะเกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ทำเฉพาะการทำการตลาดเท่านั้น ดังนั้นการวิจัยตลาดจึงเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยการตลาด</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-72247023869787614102018-02-17T15:31:00.004-08:002018-02-17T15:32:25.402-08:00การจัดการเชิงกลยุทธ์จะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสของความสำเร็จ<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
1. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง ภารกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจอย่างเป็นระบบ ดังนั้นการจัดการเชิงกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางขององค์การ และช่วยให้นักบริหารปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="900" data-original-width="1600" height="180" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgimW8Ifhan0AwJUkRoj8ml-4gT7E7dVFUDxM0crNNwHxsN5a9mZRSDsUM0QH75WPz2RfZBRtZl0B0uLZLbQiAipnFJKnyAdMFebcM6Oo-INU_RV3i9aqzkUWgPuFZlOhS2rqBoWI6YdEY/s320/ddgdfgd.jpg" width="320" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
2. การจัดการเชิงกลยุทธ์ยังนำไปสู่การจัดการความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการเตรียมรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไว้แล้ว ทำให้องค์การค้นหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดต่อองค์การ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง </div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
3. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการนำแนวทางในการดำเนินองค์การที่คิดค้นสร้างสรรค์ขึ้น และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย </div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
4. การวางแผนกลยุทธ์เป็นหน้าที่หลักของนักบริหาร เนื่องจากต้องวางแผนประยุกต์ใช้ และกำหนดทิศทางในการดำเนินงานขององค์การ การจัดทำและปฏิบัติให้สอดคล้องตามแผนกลยุทธ์จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะในระยะยาว </div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
5. การจัดการเชิงกลยุทธ์ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน จะช่วยสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจ และเสริมสร้างการพัฒนาขีดความ<span style="background-color: transparent; text-align: center;">สามารถทางการบริหารของนักบริหาร รวมทั้งช่วยเตรียมความพร้อมและพัฒนาบุคลากรที่อยู่ภายในองค์การ เนื่องจากการพัฒนาเชิงกลยุทธ์จะต้องมีการสร้างความเข้าใจและแนวทางในการเตรียมพร้อม เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของสภาพแวดล้อมและคู่แข่ง</span></div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
6. การจัดการเชิงกลยุทธ์ช่วยให้การทำงานเกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีการกำหนดกลยุทธ์ การประยุกต์ใช้ และการตรวจสอบควบคุมไว้อย่างชัดเจน</div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-87371939673549188682017-01-31T07:01:00.001-08:002017-01-31T07:01:40.816-08:00Strengths Weaknesses Opportunities and Threats <div class="MsoNormal" style="margin-top: 6.0pt; mso-layout-grid-align: none; text-align: justify; text-autospace: none; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">Strengths <span lang="TH">คือ จุดแข็ง หมายถึง ความสามารถและสถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นบวก
ซึ่งองค์กรนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนินงานภายในที่องค์กรทำได้ดี</span>
<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-top: 6.0pt; mso-layout-grid-align: none; text-align: justify; text-autospace: none; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">Weaknesses <span lang="TH">คือ จุดอ่อน หมายถึง สถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นลบและด้อยความสามารถ
ซึ่งองค์กรไม่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง
การดำเนินงานภายในที่องค์กรทำได้ไม่ดี</span> <o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-top: 6.0pt; mso-layout-grid-align: none; text-align: justify; text-autospace: none; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">Opportunities <span lang="TH">คือ โอกาส หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่เอื้ออำนวยให้การทำงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์
หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการขององค์กร</span> <o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-top: 6.0pt; mso-layout-grid-align: none; text-align: justify; text-autospace: none; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">Threats <span lang="TH">คืออุปสรรค หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่ขัดขวางการทำงานขององค์กรไม่ให้บรรลุวัตถุประสงค์
หรือหมายถึงสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นปัญหาต่อองค์กร</span> <o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="mso-layout-grid-align: none; text-align: justify; text-autospace: none; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">บางครั้งการจำแนกโอกาสและอุปสรรคเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
เพราะทั้งสองสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้สถานการณ์ที่เคยเป็นโอกาสกลับกลายเป็นอุปสรรคได้
และในทางกลับกัน อุปสรรคอาจกลับกลายเป็นโอกาสได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้องค์กรมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แวดล้อม </span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-87676746683554879992016-12-31T07:50:00.002-08:002016-12-31T07:50:53.268-08:00หลักการสำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia_WCX9pekdJz2Nf9voKzO4Fd7q_5P3gzBP1NHbsOe7xzaA6Guc846_w0ueEFZR_WtOCIRUoUu1bHubqJXgkCsz35y_CHpGcAx-kZgKFYO3Ms8Eks9ACS3wqeRYVgI8SuVnNQQojKqpEg/s320/565655.jpg" width="320" /></span></div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
1. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง ภารกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจอย่างเป็นระบบ ดังนั้นการจัดการเชิงกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางขององค์การ และช่วยให้นักบริหารปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้นักบริหารสามารถกำหนดวัตถุประสงค์และทิศทางการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงได้</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
2. การจัดการเชิงกลยุทธ์ยังนำไปสู่การจัดการความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการเตรียมรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไว้แล้ว ทำให้องค์การค้นหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดต่อองค์การ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการกำหนดวิธีการหรือแนวทางในการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การที่ตั้งไว้</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
3. การจัดการเชิงกลยุทธ์เป็นการนำแนวทางในการดำเนินองค์การที่คิดค้นสร้างสรรค์ขึ้น และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักบริหาร</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
4. การวางแผนกลยุทธ์เป็นหน้าที่หลักของนักบริหาร เนื่องจากต้องวางแผนประยุกต์ใช้ และกำหนดทิศทางในการดำเนินงานขององค์การ การจัดทำและปฏิบัติให้สอดคล้องตามแผนกลยุทธ์จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะในระยะยาว ดังนั้นความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์ของนักบริหาร และความสามารถในการควบคุมให้การปฏิบัติเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้ จะเป็นสิ่งสะท้อนศักยภาพและและสะท้อนของผู้บริหารได้เป็นอย่างดี</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
5. การจัดการเชิงกลยุทธ์ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน จะช่วยสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจ และเสริมสร้างการพัฒนาขีดความสามารถทางการบริหารของนักบริหาร รวมทั้งช่วยเตรียมความพร้อมและพัฒนาบุคลากรที่อยู่ภายในองค์การ เนื่องจากการพัฒนาเชิงกลยุทธ์จะต้องมีการสร้างความเข้าใจและแนวทางในการเตรียมพร้อม เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของสภาพแวดล้อมและคู่แข่ง นอกจากนี้แล้วการจัดการเชิงกลยุทธ์ยังช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์การเข้าใจในภาพรวม โดยเฉพาะเป้าหมายในการดำเนินงานทำให้สามารถจัดลำดับการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนได้</div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-77582805124484722362016-12-31T07:47:00.002-08:002016-12-31T07:47:04.075-08:00แนวคิดที่สำคัญในการจัดการเชิงกลยุทธ์<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แนวคิดพื้นฐานที่สำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์ คือการกำหนดภารกิจ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของกิจการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการจัดการเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์จะมีผลต่อการดำเนินงานในระยะยาว</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ดังนั้นองค์การจึงต้องมีการวางแผนการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคและบดบังโอกาสในการก้าวหน้าขององค์การได้</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ฉะนั้นองค์การจึงต้องพิจารณาถึงจุดแข็งที่มีอยู่แล้วนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ และพิจารณาถึงจุดอ่อนขององค์การเพื่อหาแนวทางขจัดจุดอ่อนเหล่านั้นเสีย<br />ในแนวคิดด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์นั้น จะมีความแตกต่างไปจากการจัดการโดยทั่วไป ซึ่งมักจะศึกษาถึงบทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร ตามกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆและเน้นหนักไปที่การจัดการและการบริหารภายในองค์การ แต่การจัดการเชิงกลยุทธ์จะให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกองค์การ หรือสภาวะแวดล้อมภายนอกด้านต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน คำนึงถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว และสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) วัตถุประสงค์ (Objective) เป้าหมาย (Goal) ขององค์การในระยะสั้นและระยะยาว จากนั้นจึงวางแผนทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้องค์การสามารถดำเนินงานตามพันธกิจ อันนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
นอกจากนี้เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจก่อให้เกิดโอกาส หรืออุปสรรคแก่องค์การได้ องค์การจึงจำเป็นต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมภายในขององค์การ เพื่อหาจุดแข็งหรือจุดอ่อนในการที่จะสามารถหลีกเลี่ยงจากอุปสรรคหรือใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่นั้นได้ ดังนั้นการจัดการเชิงกลยุทธ์จึงเป็นการบริหารโดยคำนึงถึง</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
1. ลักษณะการดำเนินงานขององค์การ<br />2. ลักษณะธุรกิจในอนาคต<br />3. สภาพแวดล้อม<br />4. การจัดสรรทรัพยากร<br />5. การปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์</div>
<div style="background: rgb(255, 255, 255); border: 0px; color: #333333; font-family: Georgia, "Bitstream Charter", serif; font-size: 16px; margin-bottom: 24px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-53236773845897458652016-10-29T05:20:00.000-07:002016-10-29T05:20:17.055-07:00ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom)Bloom’s Taxonomy กล่าวถึงการจาแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจาแนกระดับความสามารถจากต่าสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน นอกจากนี้ยังนาเสนอระดับความสามารถที่มีการปรับปรุงใหม เป็น การจา(Remembering) การเข้าใจ(Understanding) การประยุกต์ใช้(Applying) การวิเคราะห์ (Analysing) การประเมินผล (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) ด้านจิตพิสัย จาแนกเป็น การรับรู้, การตอบสนอง, การสร้างค่านิยม, การจัดระบบ และการสร้างคุณลักษณะจากค่านิยม ด้านทักษะพิสัย จาแนกเป็น ทักษะการเคลื่อนไหวของร่างกาย, ทักษะการเคลื่อนไหวอวัยวะสองส่วนหรือมากกว่าพร้อมๆกัน, ทักษะการสื่อสารโดยใช้ท่าทาง และทักษะการแสดงพฤติกรรมทางการพูด<br />
<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom) ได้แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKhC-7cTRDzgQAlkAoYZaQUD0dZROc9guaWmlmpY9Ju26y6ci5bvaC5jearZd6voWQVWFTUynZSrA5hmuoZ4lAC-p9lkjKLwvjWp2fovQ7aXS8yBGxGxSejcoE1JS6Md_AZ-avzomF7Ec/s320/1.png" width="320" /></span></div>
1. ความรู้ที่เกิดจากความจา (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด<br />
2. ความเข้าใจ (Comprehend)<br />
3. การประยุกต์ (Application)<br />
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้<br />
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) สามารถนาส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่<br />
6. การประเมินค่า ( Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัดmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-72202954702756422542015-11-01T05:37:00.004-08:002015-11-01T05:38:04.733-08:00การกำหนดทางเลือกของช่องทางการจัดจำหน่าย<span style="font-size: large;"><b style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> 1. ประเภทของคนกลาง</b><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> บริษัทสามารถจะเลือกใช้ประเภทคนกลางที่เหมาะสม เพื่อการจัดจำหน่าย</span></span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;">สินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้</span><br />
<span style="font-size: large;"><br /></span>
<span style="font-size: large;"><b style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"><br /></b>
<b style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;">2จำนวนคนกลาง </b><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> เป็นการกำหนดจำนวนคนกลางในแต่ละระดับของการจัดจำหน่าย </span><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> ซึ่งกลยุทธ์</span></span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;">ที่นิยมใช้ </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="font-family: Cordia New;"><span style="font-size: large; line-height: 16px; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-xrqLNtMhoEVfQuGWJwHGKWKGmO0uFOD7tLJpK_cbtJx-CO9VxV6pEbxy8pGBA74EUFRLhYYivBpPVcmNK6tu9VPmO5QCX5gTA08xW1D8yfl67kacsvWbOUodPcYFlUonOuSHAf1lGn0/s1600/453.jpg" /></span></span></div>
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> Exclusive Distribution จำกัดจำนวนคนกลาง เพื่อควบคุมคุณภาพการจัดจำหน่ายได้ บ</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> - Selective Distribution คัดเลือกคนกลางที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวนหนึ่งที่จะสามารถควบคุมได้</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้สินค้าวางจำหน่ายได้ครอบคลุมพื้นที่</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> - Intensive Distribution ให้มีคนกลางจำนวนมากที่สุด ครอบคลุมพื้นที่อย่างทั่วถึง อำนวยความ</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> สะดวกด้านสถานที่ต่อผู้บริโภคมากที่สุด </span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"><br /></span>
<b style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> เงื่อนไขและภาระความรับผิดชอบของคนกลาง</b><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> สิ่งที่ควรพิจารณาในประเด็นนี้ ได้แก่</span></span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> - นโยบายราคา ได้แก่ การกำหนดราคาขาย เงื่อนไขการให้ส่วนลดและการจูงใจลูกค้าให้แก่คนกลาง</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและไม่สร้างปัญหาการขายในภายหลัง</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> - เงื่อนไขการขายอื่น ๆ เช่น ระยะเวลาชำระเงิน การรับคืน การรับประกันสินค้า การให้ส่วนลด</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> ปริมาณแก่คนกลาง </span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> - สิทธิประโยชน์ของคนกลางในพื้นที่รับผิดชอบเป็นข้อตกลงว่าด้วยการให้สิทธิการขาย</span><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> ซึ่งต้องกำหนดอย่างชัดเจนมิฉะนั้นจะเกิดความขัดแย้งกับคนกลาง</span></span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> รายอื่น</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> - ภาระความรับผิดชอบอื่น ๆ เช่น การส่งเสริมการขาย การให้บริการหลังการขาย</span><br />
<span style="font-size: large;"><b style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> การประเมินผลทางเลือก</b><span style="font-family: 'Cordia New'; line-height: 16px;"> เกณฑ์ในการประเมินผลทางเลือกการตัดสินใจใช้ช่องทางการจัดจำหน่าย</span></span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;">ยอดขายและค่าใช้จ่าย คำถามแรกก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการจัดจำหน่ายแบบใดก็คือช่องทางการจัด</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> จำหน่ายหรือคนกลางที่เลือกจะทำยอดขายได้เท่าใด </span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;">การควบคุมตัวแทนจำหน่าย คือ บุคคลภายนอกซึ่งมุ่งแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดจากการเข้ามา</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> ทำธุรกิจจัดจำหน่ายกับบริษัท การฝากอนาคตของบริษัทในการบริหารลูกค้าจึงต้องพิจารณาอย่าง</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> รอบคอบมีหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมอย่างชัดเจน</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;">ความร่วมมือ บริษัทและผู้แทนจำหน่ายถือเป็นคู่ค้าหรือพันธมิตร ธุรกิจที่จะต้องมีแผนการทำงาน</span><br />
<span style="font-family: 'Cordia New'; font-size: large; line-height: 16px;"> ร่วมกัน ต้องมีคำมั่นสัญญาซึ่งกันและกันอย่างน้อยก็ในระยะเวลาหนึ่ง </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-86759853098321805282015-05-09T01:55:00.000-07:002015-05-09T01:55:34.347-07:00Market Positioningการกำหนดตาแหน่งผลิตภัณฑ์ (Market Positioning) เป็นการจัดผลิตภัณฑ์ให๎มีความแตกตำงชัดเจน และตรงกับความต๎องการ โดยการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ขององค์กรกับผลิตภัณฑ์ของคูํแขํงขัน ให๎อยูํในจิตใจของผู๎บริโภคโดยจะต๎องมีการระบุความได๎เปรียบ หรือความแตกตำงทางการแขํงขัน (Competitive Advantages)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="155" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhq3jbJXj7eEKfKsB1jVeEtmOCcMIqNmNAtmDjb1VvpB1FtzGHHzj4oshFWWp7HlEortvF5t85P5uuxEzfE_HuzkhEvSID3feNO_gE7Ge6uNT8CwBIOmngcEwzIrR2JIGttXGOUpLJOad4/s320/STP.png" width="320" /></div>
<br />
ความแตกตำงด๎านผลิตภัณฑ์ (Product Differentiation) เป็นการพิจารณาคุณลักษณะเดํนของตัวผลิตภัณฑ์ที่เหนือกวำคูํแขํงขัน ซึ่งสามารถพิจารณาได๎จากคุณลักษณะตำงๆ ได๎แกํ รูปแบบ คุณสมบัติ ความคงทน คุณสมบัติ ราคา ความนำเชื่อถือ และคุณภาพ<br />
ความแตกตำงด๎านบริการ (Service Differentiation) เป็นการกาหนดตาแหนํงทางการตลาดให๎แกํผลิตภัณฑ์ โดยเน๎นไปที่การให๎บริการที่เหนือกวำคูํแขํงขัน ซึ่งสามารถพิจารณาได๎จากคุณลักษณะตำงๆ ได๎แกํ ความรวดเร็ว การรับประกัน การบริการติดตั้ง การบริการจัดสํงสินค๎า การฝึกอบรมหรือให๎คาปรึกษาแกํลูกค๎า และการบริการบารุงรักษาและซํอมแซม<br />
<br />
ความแตกตำงด๎านบุคคล (Personnel Differentiation) เป็นการกาหนดตาแหนํงทางการตลาดโดยพิจารณาจากความสามารถของบุคลากรในองค์กร โดยทั่วไปนิยมใช๎กับผลิตภัณฑ์ประเภทบริการ ซึ่งสามารถพิจารณาได๎จากคุณลักษณะตำงๆ ได๎แกํ ความรู๎ความสามารถของบุคลากร ประสบการณ์และความชานาญ ความนำเชื่อถือ ความซื่อสัตย์สามารถไว๎วางใจได๎<br />
<br />
ความแตกตำงด๎านภาพลักษณ์ (Image Differentiation) เป็นการกาหนดตาแหนํงทางการตลาด โดยนาเอาภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์หรือองค์กรมาเป็นเครื่องมือในการสร๎างความแตกตำงทางการแขํงขัน<br />
<br />
ขั้นตอนในการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์<br />
• ขั้นตอนการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product positioning) มีดังนี้<br />
• บริษัทจะต้องระบุรายการ<br />
• จะต้องคัดเลือกคุณสมบัติที่ดีเด่น 2 ประการ จากข้อดีเด่นของสินค้าที่ได้เสนอ<br />
ออกมาแล้ว ถ้าเลือกเพียงแกนเดียวสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้ก็ใช้เพียงแกน<br />
เดียว แต่ถ้าไม่ชนะก็ต้องเลือกขึ้นมา 2 แกน เงื่อนไขในการเลือกมี 3 ประการ ดังนี้<br />
– สิ่งที่เด่นชัดในตัวของสินค้า<br />
– จุดเด่นที่เลือกมานั้นจะต้องได้เปรียบคู่แข่งขัน เ<br />
– จุดเด่นและได้เปรียบที่ทางบริษัทเลือกมานั้นจะต้องเป็ นจุดที่มีความสำคัญใน<br />
สายตาของผู้บริโภคmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-8533311498944455342015-05-09T01:48:00.000-07:002015-05-09T01:48:46.982-07:00STP Markettiingการตัดสินใจขายสินค๎าในตลาด ไมํวำจะเป็นตลาดผู๎บริโภคหรือตลาดอุตสาหกรรม จะต๎องระลึกอยูํเสมอวำ โดยทั่วไปแล๎วองค์กรไมํสามารถผลิตสินค๎าหรือบริการให๎แกํลูกค๎าในทุกๆตลาดได๎ เนื่องจากลูกค๎ามีจานวนมากที่อยูํกระจัดกระจาย และมีความต๎องการที่แตกตำงกัน องค์กรจึงต๎องทาการแขํงขันเฉพาะตลาดที่องค์กรมีความชานาญมากที่สุด<br />
STP Marketing หมายถึงการจัดผลิตภัณฑ์และสํวนประสมทางการตลาดที่แตกตำงกัน เพื่อสนองความต๎องการของตลาดที่มีลักษณะและความต๎องการที่แตกตำงกัน ซึ่งแบํงออกเป็น 3 สํวน ได๎แกํ การแบํงสํวนตลาด (Market Segmentation) การเลือกตลาดเป้าหมาย (Market Targeting) และการกาหนดตาแหนํงผลิตภัณฑ์ (Market Positioning) ซึ่งลาดับขั้นตอนของ SPT Marketing<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn2nyuNeAdnT6yHXvl3D-SwAhbMoKEfiyB_bN5BPY6hn9tOs5fSC_GyiYHIsTylKNuxfY2xAmgJMFwAcNGrFj41sv2qGqbvth0bpbxEF78e_VVvG3ZaYQPPSDY0wdVTgnQqLR73tJePbY/s1600/55y.jpg" /></div>
<br />
การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) หมายถึงการแบํงลูกค๎าออกเป็นกลุํมยํอยที่แตกตำงกัน โดยใช๎เกณฑ์ความต๎องการ บุคลิกลักษณะ หรือพฤติกรรม ซึ่งผู๎บริโภคที่อยูํในแตํละกลุํมเดียวกัน จะมีความต๎องการในสินค๎าหรือบริการที่คล๎ายคลึงกัน<br />
<br />
การตลาดรวม (Mass marketing) ใช๎กลยุทธ์การผลิตผลิตภัณฑ์แบบไมํแตกตำงคือ เน๎นการผลิตจานวนมาก และขายให๎กับลูกค๎าทุกคนเหมือนกัน ถือได๎วำไมํมีการแบํงสํวนตลาดเลย ตัวอยำงเชํน รองเท๎ายี่ห๎อนันยางผลิตรองเท๎าแบบเดียวสาหรับลูกค๎าทุกกลุํม เป็นต๎น<br />
<br />
การตลาดแบบแบํงสํวน (Segment marketing) เป็นการแบํงตลาดออกเป็นสํวนๆตามความต๎องการของผู๎บริโภคที่แตกตำงกัน เพื่อผลิตสินค๎าหรือบริการตอบสนองความต๎องการของผู๎บริโภคแตํละกลุํม<br />
<br />
การตลาดสํวนยํอย (Niche marketing) เป็นการแบํงตลาดออกเป็นสํวนยํอยๆ เพื่อตอบสนองความต๎องการของผู๎บริโภคเฉพาะกลุํม<br />
<br />
การตลาดเฉพาะบุคคล (Micro marketing) เป็นการแบํงสํวนตลาดที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด คือเป็นการแบํงตลาดออกเป็นสํวนยํอยๆ เพื่อตอบสนองความต๎องการของผู๎บริโภคเฉพาะบุคคลmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-44623710446187951422014-11-18T22:07:00.001-08:002014-11-18T22:07:18.561-08:00ปัจจัยที่ใช้ในการกำหนดปริมาณของสินค้าคงคลัง <span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การพิจารณาถึงปริมาณของสินค้าคงคลังในระดับที่ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องค่อน
ข้างยาก
จึงจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องทราบถึงสิ่งที่สามารถนำมาช่วยในการกำหนด
ปริมาณของสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม อันได้แก่ </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgo1b0gotBaTXm6LJELgtlKIb2hYOnw4USU0fZGPGtQ5DYl-PX9sOdFdsbCJVW3CLWA8xrNjDLpQsRCCuBWQNfsEd4QNB2KdG2JWHbX2ugGR3Xfn2bxkWIPZjj3_TEr5AZ6WpQml4HUppw/s1600/amazonStore.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgo1b0gotBaTXm6LJELgtlKIb2hYOnw4USU0fZGPGtQ5DYl-PX9sOdFdsbCJVW3CLWA8xrNjDLpQsRCCuBWQNfsEd4QNB2KdG2JWHbX2ugGR3Xfn2bxkWIPZjj3_TEr5AZ6WpQml4HUppw/s1600/amazonStore.gif" height="281" width="320" /></span></a></div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>1. </em></strong><em><u>จุดมุ่งหมายหลักในการมีสินค้าคงคลั</u></em><em>ง</em>
โดยปกติแล้วสินค้าคงคลังมีไว้เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่สะดุดหรือหยุดชะงัก แต่บางครั้งธุรกิจอาจมีจุดมุ่งหมายอื่น
เช่นถ้าคาดการณ์ว่าราคาสินค้ามีแนวโน้มจะสูงขึ้นในอนาคต
ก็อาจเก็งกำไรโดยเลือกเก็บสินค้าคงคลังในปัจจุบัน
เพื่อขายในราคาที่สูงขึ้นในอนาคต ปริมาณของสินค้าคงคลังจึงมีจำนวนมาก
หรือบางครั้งได้รับข้อเสนอส่วนลดเงินสดจาก Supplier
โดยต้องสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากๆ ในกรณีนี้ต้องเปรียบเทียบถึง<br />
ผลดีจากส่วนลดเงินสดที่ได้รับ และผลเสียจากค่าใช้จ่ายการบริหารสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>2. </em></strong><em><u>ยอดขายในอดีตของธุรกิจ</u></em>
โดยผู้ประกอบการสามารถนำยอดขายที่เกิดขึ้นในอดีตของตนมาพยากรณ์ยอดขายที่อาจ
เกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้การกำหนดปริมาณสินค้าคงคลังของธุรกิจจะแปรผันโดยตรงกับยอดขายที่
พยากรณ์ได้นั่นเอง ถ้าขายมาก
ก็อาจต้องมีปริมาณสินค้าคงคลังในระดับค่อนข้างมาก
เพื่อรองรับการขายที่พยากรณ์ไว้นั้น
แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่พึ่งเกิดขึ้นใหม่ยังไม่มียอดขายในอดีต
ก็สามารถกำหนดระดับของสินค้าคงคลัง ได้จากการประมาณการยอดขายของตน </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>3. </em></strong><em><u>การซื้อขายตามฤดูกาล </u></em><em><u>(Seasonal Selling)</u></em>
ถ้าเป็นธุรกิจที่มีการซื้อขายตามฤดูกาล เช่นธุรกิจขายร่ม
ซึ่งถ้าเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ยอดขายก็อาจมากกว่าปกติ
ดังนั้นระดับของปริมาณสินค้าคงคลังในในช่วงฤดูฝนก็จะมากขึ้นตามปริมาณของยอด
ขายที่เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นยอดขายก็จะลดลงมาสู่ระดับปกติ
ซึ่งระดับของปริมาณสินค้าคงคลังก็จะลดลงตาม </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>4. </em></strong><em><u>คุณสมบัติของสินค้า</u></em>
อันได้แก่ วงจรชีวิต ความคงทน ขนาด รูปลักษณ์ เป็นต้น
ถ้าเป็นธุรกิจที่ขายผักหรือผลไม้ ซึ่งมีวงจรชีวิตน้อย
การที่ธุรกิจจะมีปริมาณสินค้าคงคลังมากก็คงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน
เนื่องจากถ้าขายไม่หมด
ผักหรือผลไม้นั้นก็อาจจะเน่าเสียหายได้ในเวลาค่อนข้างเร็ว
นอกจากนี้สินค้าบางชนิดแม้ว่าจะเก็บได้นาน อาจเสื่อมสภาพ หมดอายุ
หรือเสียหายได้ ธุรกิจก็อาจต้องมีสินค้าเผื่อปลอดภัย (Safety Stock)
เพื่อรองรับไม่ให้การขายสะดุดลงได้ </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>5. </em></strong><em><u>การแบ่งประเภทของสินค้า</u></em>
ในบางครั้งธุรกิจอาจมีการผลิตสินค้าหลายชนิดสำหรับขาย
บางอย่างอาจขายได้มาก บางอย่างอาจขายได้ค่อนข้างน้อย
ก็อาจแบ่งประเภทตามปริมาณการขายออกเป็น สินค้าประเภทที่มีความสำคัญมาก
ซึ่งสามารถขายได้เป็นจำนวนมาก และสินค้าที่มีความสำคัญน้อย
เพราะขายได้น้อย
ซึ่งกำหนดปริมาณของสินค้าคงคลังตามความสำคัญของสินค้าแต่ละประเภท เช่น
สินค้าที่มีความสำคัญมาก ขายได้มาก ก็ควรมีปริมาณของสินค้าคงคลังมาก
สินค้าที่มีความสำคัญน้อย ขายได้น้อย ก็ควรมีปริมาณของสินค้าคงคลังน้อย
เป็นต้น </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>6. </em></strong><em><u>ความนิยมในตัวสินค้</u></em><em>า</em>
ถ้าธุรกิจมีสินค้าประเภทล้าสมัยไม่เป็นที่นิยม
ปริมาณสินค้าคงเหลือของสินค้าชนิดนี้ก็ควรจะมีปริมาณน้อยกว่าสินค้าประเภท
อื่นในสายการผลิตของธุรกิจนั้น
นอกจากนี้ความนิยมของลูกค้ายังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
โดยที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้
ดังนั้นสำหรับกรณีที่ธุรกิจมีสินค้าที่เป็นที่นิยม ติดตลาด
และมีแนวโน้มว่าจะขายได้เพิ่มขึ้น
ธุรกิจจึงควรต้องพิจารณาถึงการมีสินค้าเผื่อปลอดภัยในการกำหนดปริมาณของ
สินค้าคงคลังของตนด้วย
เพื่อป้องกันการขาดแคลนสินค้าซึ่งจะนำมาซึ่งการสูญเสียลูกค้าในที่สุดนั่น
เอง </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>7. </em></strong><em><u>ความไม่แน่นอนในการจัดส่งสินค้าของ </u></em><em><u>Suppliers</u></em>
ในบางครั้งธุรกิจอาจต้องสั่งซื้อวัตถุดิบจาก Suppliers
ซึ่งโดยปกติจะมีระยะเวลาการสั่งซื้อสินค้า (Lead Time) ที่ค่อนข้างแน่นอน
แต่เมื่อถึงเวลาการจัดส่งวัตถุดิบจริงอาจมีความล่าช้าเกิดขึ้น
ทั้งนี้อาจเกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น
เกิดอุบัติเหตุรถขนส่งชนกันขึ้น ดังนั้นในการกำหนดปริมาณของสินค้าคงคลัง
ผู้ประกอบการก็ควรจะต้องมีสินค้าเผื่อปลอดภัยเก็บไว้ด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก และสูญเสียโอกาสในการขาย
อันอาจเกิดจากความไม่แน่นอนของการจัดส่งสินค้านี้ </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>8. </em></strong><em><u> การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการบริหารสินค้าคงคลัง</u></em>
โดยเฉพาะในด้านการสื่อสาร และการดำเนินรายการทางการค้ากับลูกค้า
ทั้งนี้เพราะหากการสื่อสารผิดพลาด
ธุรกิจก็จะเสียโอกาสในการขายสินค้าให้แก่ลูกค้า
อันเนื่องมาจากขายสินค้าผิดประเภท
ขายสินค้าไม่ตรงตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ หรืออาจไม่มีสินค้าสำหรับขาย
นอกจากนี้หากการตอบสนองต่อคำสั่งซื้อจากลูกค้าล่าช้า
ก็จะทำให้คาดการณ์ปริมาณสินค้าคงคลังเพื่อรองรับการขายได้ยากขึ้น
ดังนั้นยิ่งธุรกิจสามารถพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านการ
สื่อสาร และการดำเนินรายการทางการค้ากับลูกค้าได้ดีเท่าไร
การคาดการณ์ปริมาณสินค้าคงคลังก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น </span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>9. </em></strong><em><u>การเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ</u></em>อัน
ได้แก่ กฎหมาย ข้อกำหนด และระเบียบข้อบังคับต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดทั้งโอกาส
หรืออุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และส่งผลโดยตรงต่อปริมาณสินค้าคงคลังของ
ธุรกิจแต่ละประเภท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจที่ขึ้นกับนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ </span><br />
<br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong><em>10. </em></strong><em><u>ต้นทุนของสินค้าคงคลัง (</u></em><em><u>Inventory Cost)</u></em>
ทั้งนี้ในการกำหนดปริมาณของสินค้าคงคลังของธุรกิจนั้นต้องคำนึงถึงต้นทุน
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย โดยจุดมุ่งหมายหลักก็คือ
ต้องมีปริมาณของสินค้าคงคลังที่เหมาะสมและมีต้นทุนในการบริหารต่ำที่สุด</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-25254171348891198672014-11-18T22:01:00.001-08:002014-11-18T22:01:11.658-08:00ค่าตอบแทน(Compensation)<div align="left">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> "ค่าจ้าง"(Wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทน
โดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงานของคนงาน เพราะค่าจ้างส่วนใหญ่กำหนดไว้สำหรับจ่ายคนงานเป็นรายชั่วโมง
ที่เรียกกันว่า Nonsupervisor or Blue-collar<br />
"เงินเดือน"(Salary) หมายถึงจำนวนเงินที่บุคคลได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานถือเป็นเกณฑ์
การจ่ายเหมาเป็นรายเดือนและถือเป็นรายได้ประจำ เราเรียกกันว่า White-collar
or Professional<br />
ส่วนประกอบของค่าจ้างตามแนวความคิดใหม่<br />
การบริหารค่าจ้างสมัยใหม่ก็จะเขียนได้เป็นสมการ ดังต่อไปนี้<br />
การบริหารค่าจ้าง = เงินเดือน + ผลประโยชน์และบริการ + ค่าตอบแทนทางสังคม</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk98G_kPmLGAG7wlhHZTpKY6GLbExcLM4dT1E8c5sss5rXZIM1nyn533rtJopQLOAlVAIt0AG8XwBMVp18CWZXyiM8ZJZYSIYWkTtMbrgBqFfB1OuXQhfgATSOtRJuY5NzYGCZTorrtOc/s1600/images.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk98G_kPmLGAG7wlhHZTpKY6GLbExcLM4dT1E8c5sss5rXZIM1nyn533rtJopQLOAlVAIt0AG8XwBMVp18CWZXyiM8ZJZYSIYWkTtMbrgBqFfB1OuXQhfgATSOtRJuY5NzYGCZTorrtOc/s1600/images.jpeg" /></span></a></div>
<div align="left">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ส่วนประกอบของการบริการค่าจ้างสมัยใหม่
ประกอบไปด้วยค่าจ้างดังต่อไปนี้<br />
1. ค่าจ้างที่เป็นรูปเงิน(Money pay)
นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือ
สำหรับใช้ในการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน<br />
2. ค่าจ้างที่เป็นรูปความสำคัญของงาน(Power pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม
คือ สินจ้างรางวัลที่จ่ายตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่<br />
3. ค่าจ้างที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น(Authority
pay)<br />
4. ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง(Status pay)<br />
5. ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี(Meta - goals pay) <br />
5.1 หลักความพอเพียง(Adequacy) คือ
การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆไป<br />
5.2 หลักความยุติธรรม(Equity) <br />
5.3 หลักดุลยภาพ(Balance) หมายถึงความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ
ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม<br />
5.4 หลักควบคุม(Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น
เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร
การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน<br />
5.5 หลักความมั่นคง(Security) ความมั่นคงของพนักงานทั่วไป
หมายถึง การจัดให้มีการประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน
การว่างงาน ส่วนความมั่นคงของพนักงานระดับสูงและฝ่ายจัดการก็อยู่ที่
การทีหลักทรัพย์ที่ดินและบ้าน<br />
5.6 หลักล่อใจในการทำงาน(Incentives)
<br />
5.7 หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย(Pay
- and - Effort Bargain) <br />
5.8 หลักการยอมรับ(Acceptability) </span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-87826304716286936762014-11-18T21:59:00.001-08:002014-11-18T21:59:25.173-08:00การคัดเลือก(Selection)<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การคัดเลือก คือ
กระบวนการที่องค์การใช้เครื่องมือต่างๆ
มาดำเนินการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครจำนวนมากให้เหลือตามจำนวนที่องค์การต้อง
การ
ฉะนั้นการคัดเลือกจำเป็นที่จะต้องมีเกณฑ์กำหนดขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการ
พิจารณาให้ได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับงานที่เปิดรับ<br />
การคัดเลือกจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนั้น จะต้องมีตัวป้อนเข้า
(input ) ที่ดีด้วย ตัวป้อนเข้าที่จะไปสู่การคัดเลือกนั้น มี 3 ประเภท
ด้วยกัน คือ<br />
1. การวิเคราะห์งาน ( Job analysis)<br />
2. แผนทรัพยากรมนุษย์ (Human resource plans)<br />
3. การสรรหา (Recruitment)<br />
<strong>กระบวนการคัดเลือกมีลำดับขั้นตอนดังนี้
</strong><br />
ขั้นที่ 1. การต้อนรับผู้สมัคร(Preliminary reception of application)<br />
การคัดเลือกเป็นโอกาสแรกที่ผู้สมัครจะเริ่มรับรู้เกี่ยวกับลักษณะขององค์การ
ขณะเดียวกันฝ่ายบุคคลเองก็มีโอกาสสังเกตกิริยาท่าทาง เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของผู้สมัคร
ซึ่งจะเป็นข้อมูลอย่างดีในการพิจารณาต่อไป<br />
ขั้นที่ 2 การทดสอบ(Employment tests)<br />
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ที่นำไปเร้าให้บุคคลแสดงความสามารถและพฤติกรรมออกมา
<br />
ประเภทของแบบทดสอบ<br />
1. แบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ<br />
1.1. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์(Achievement
Test) หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะ ที่บุคคลได้รับการเรียนรู้มาในอดีต<br />
1.2. แบบทดสอบความถนัด(Aptitude Test)
หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดสมรรถภาพทางสมองเกี่ยวกับความสามารถในการปฎิบัติกิจกรรม
การทำงานให้บรรลุผลสำเร็จด้วยความถูกต้องแม่นยำ ชำนาญและคล่องแคล้ว<br />
1.3. แบบทดสอบบุคคล-สังคม(Personal-Social
Test) หรือแบบทดสอบการปรับตัว(Adjustment) หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพ
(Personality) และการปรับตัวให้เข้ากับสังคม<br />
2. แบ่งตามลักษณะของการกระทำหรือการตอบ แบ่งได้ดังนี้<br />
2.1 แบบให้ลงมือกระทำ(Performance Test)
แบบทดสอบภาคปฏิบัติทั้งหลาย<br />
2.2 แบบให้เขียนตอบ(Paper-Pencil Test)
แบบทดสอบข้อเขียน<br />
2.3 การสอบปากเปล่า(Oral Test) การสอบสัมภาษณ์นั่นเอง<br />
3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายการสร้าง แบ่งเป็น<br />
3.1 แบบอัตนัย (Subjective test) มุ่งการบรรยาย
พรรณนา <br />
3.2 แบบปรนัย (Objective test) มุ่งการถามให้ครอบคลุมเนื้อหา<br />
4. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ<br />
4.1 แบบใช้ความรวดเร็ว(Speed test)
ต้องการดูความไว<br />
4.2แบบที่ให้เวลามาก(Power test)ต้องการการแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์
<br />
5. แบ่งตามประโยชน์ <br />
5.1 เพื่อการวินิจฉัย<br />
5.2 เพื่อการทำนาย คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต<br />
ขั้นที่ 3 การสัมภาษณ์(Selection interview)
แบ่งเป็น 5 ประเภท<br />
1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured interview) การสัมภาษณ์แบบนี้ให้อิสระแก่ผู้สัมภาษณ์
<br />
2. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง(Structured or directive interview)
คำถามแต่ละคำถามจะถูกเตรียมก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์<br />
3. การสัมภาษณ์แบบผสม(Mixed interview) การสัมภาษณ์ที่ผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง<br />
4. การสัมภาษณ์แบบแก้ปัญหา(Problem-solving interviews)
เป็นการสัมภาษณ์ที่เน้นแนวคิดความคิดและวิธีการที่ผู้สมัครใช้แก้ปัญหาต่อ
สถานการณ์ต่างๆ<br />
5.การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น(Stress interviews) เป็นการสัมภาษณ์เน้นสถานการณ์ในด้านความเครียดและความกดดันต่างๆ
เพื่อพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์<br />
กระบวนการสัมภาษณ์แบ่งเป็น 5 ขั้น คือ<br />
1. การเตรียมการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรมีการเตรียมคำถามต่างๆ เอาไว้ก่อน<br />
2. การสร้างสายสัมพันธ์(Creation of rapport) จะทำให้สัมพันธภาพ ระหว่างผู้สัมภาษณ์
และผู้ถูกสัมภาษณ์มีความไว้ใจ<br />
3. การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ(Information exchange)
เพื่อสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์บางครั้งผู้สัมภาษณ์ต้องการให้การสัมภาษณ์
เป็นการสื่อสารสองทาง
(two-way communication)<br />
4. การยุติการสัมภาษณ์(Termination) ผู้สัมภาษณ์จะเป็นฝ่ายยุติการสัมภาษณ์อาจบอกว่า
เราคุยกันมาพอสมควร ผมขอถามคำถามสุดท้าย<br />
5. การประเมินผล(Evaluation) หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ผู้สัมภาษณ์ต้องบันทึกผลทันที<br />
ขั้นที่ 4 การตรวจสอบภูมิหลัง(References and
background check)<br />
ในขั้นนี้จะพิจารณาตรวจสอบภูมิหลังจากบริษัทเดิมหรือผู้ที่อ้างถึงในใบสมัคร
ข้อมูลการตรวจสอบภูมิหลังช่วยยืนยันความแน่ใจในการตัดสินใจของคณะกรรมการได้ดีขึ้น<br />
ขั้นที่ 5 การตรวจสุขภาพ(Medical Evaluation)<br />
ให้ผู้สมัครตรวจสุขภาพในหน่วยงานต่างๆ ที่ทางองค์การกำหนดให้
การตรวจสุขภาพนี้ช่วยไม่ให้องค์การมีปัญหาภายหลังจากการรับพนักงานเข้ามาทำ
งานแล้วเกิดภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากสุขภาพเบื้องต้น<br />
ขั้นที่ 6 การประชุมปรึกษาพิจารณา(Conference)<br />
คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงาน ผู้คัดเลือกเละกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งพิจารณาตัดสินครั้งสุดท้าย
คณะกรรมการชุดนี้จะร่วมกันอภิปรายความเหมาะสมในการตัดสินใจคัดเลือกให้บุคคลใดเข้าทำงานในองค์การ
<br />
ขั้นที่ 7 ทดลองการปฏิบัติงาน(Realistic Job
Preview)<br />
ในขั้นนี้จะได้ประโยชน์แก่ผู้ถูกคัดเลือกโดยตรงเพราะจะได้สำรวจตนเองว่ามีความเหมาะสมในงานนั้นจริงหรือไม่
สามารถปรับตัวต่อสภาพการณ์ต่างได้หรือไม่<br />
ขั้นที่ 8 การตัดสินใจจ้าง(Hiring Decision)</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-28501496545878031822014-11-18T21:58:00.001-08:002014-11-18T21:58:38.999-08:00การสรรหา(Recruitment) <span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">การสรรหา(Recruitment) คือ กระบวนการในการแสวงหาและจูงใจผู้สมัครงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ
เริ่มต้นตั้งแต่การแสวงหาคนเข้าทำงานและสิ้นสุดเมื่อบุคคลได้มาสมัครงานในองค์การ<br />
กระบวนการที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา คือ<br />
1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning) <br />
2. ความต้องการหรือการร้องขอของผู้จัดการ(Specific requests of managers)
<br />
3. การระบุตำแหน่งงานที่จะรับบุคลากรใหม่(Job opening identified)
<br />
4. รวบรวมสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน (Job analysis information)
<br />
5. ข้อคิดเห็นของผู้จัดการ(Manager's comments)
ข้อคิดเห็นของผู้จัดการจะเป็นตัวตรวจสอบให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำด้วยความ
รอบคอบและลึกซึ้งมากขี้น<br />
6. กำหนดคุณสมบัติบุคลากรตรงกับงาน(Job requirement) <br />
7. กำหนดวิธีการสรรหา(Methods of recruitment) ผู้สรรหาจะศึกษาแนวทางและแหล่งที่จะดำเนินการสรรหาพนักงาน
<br />
8. ความพึงพอใจที่ได้ผู้สมัคร(Satisfactory pool of recruits)<br />
กระบวนการสรรหา (werther and davis. 1986)<br />
<strong>ข้อกำหนดที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา</strong><br />
1.นโยบายขององค์การ (Organization policies) โดยทั่วไปมุ่งแสวงหาความสำเร็จ<br />
1.1
นโยบายการส่งเสริมบุคคลภายในให้บรรจุในตำแหน่งงานที่ว่างลง(Promote
from- within policies)
องค์การต้องการที่จะสนับสนุนให้โอกาสแก่บุคคลที่ทำงานอยู่ในองค์การของตนได้
มีโอกาสเลื่อนหรือเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งที่ว่างลง
โดยเชื่อว่าจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่พนักงานที่ทำงานอยู่<br />
1.2 นโยบายรับบุคคลภายนอกมาบรรจุในตำแหน่งที่ว่างลง(Promote
from outside policies) องค์การต้องการบุคคลที่มีแนวความคิดใหม่ๆ เข้ามาในองค์การแทนที่จะวนเวียนเฉพาะคนในองค์การของตน<br />
1.3 นโยบายค่าตอบแทน(Compensation policies)
คือ บริษัทที่กำหนดราคาเงินเดือนต่ำกว่าราคาที่ตลาดกำหนดจะไดรับบุคคลที่หมดโอกาสจากที่อื่นๆ
แล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในองค์การ<br />
1.4 นโยบายด้านสถานภาพการจ้างงาน(Employment
status policies) บางองค์การได้กำหนดนโยบายที่จะรับบุคคลเข้าทำงานนอกเวลา(Part-
time) และทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว <br />
1.5 นโยบายการจ้างคนต่างชาติ(International
hiring policies) ผู้สรรหาจะต้องทำการศึกษาหาความรู้ต่างๆ ด้านกฎหมายเพื่อให้การจ้างงานประเภทนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง<br />
2.แผนด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resources Plans) จะทำให้ผู้สรรหาได้รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพนักงาน
และการเลื่อนขั้นของพนักงาน รู้ว่างานที่กำหนดในแผนนั้นควรหาบุคคลจากแหล่งภายในองค์การเองหรือจากแหล่งภายนอก
<br />
3. สภาพแวดล้อมทั่วๆไป(Environments Conditions) ผู้สรรหาควรได้มีการตรวจสอบกับมาตรการ
3 ประการ ดังต่อไปนี้<br />
3.1
ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐบาลได้สรุปให้เห็นทิศทางของสภาพเศรษฐกิจนับ
ว่าเป็นสิ่งที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาด้วย<br />
3.2 การพิจารณาข้อเปรียบเทียบระหว่างการดำเนินการจริงและที่คาดการณ์ไว้
เพื่อจะได้เห็นความแปรผันในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะได้รู้แน่ชัดว่าบุคลากรที่มีอยู่นั้นมีลักษณะเช่นไร
ต้องการบุคลากรลักษณะใดมาเพิ่มเติม<br />
3.3 การพิจารณาข้อมูลจากการประกาศการหางานทำในหน้าหนังสือพิมพ์
เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงการแข่งขันกันด้านแรงงาน
เพื่อผู้ทำหน้าที่สรรหาจะได้ดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ช่วงชิงให้คนที่มีความสามารถสนใจงานในบริษัทของเราก่อนบริษัทคู่แข่ง<br />
4. การกำหนดคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงาน(Job
Requirements) ผู้สรรหาจะต้องศึกษาและเรียนรู้ความต้องการต่างๆ จากสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน
และคำร้องขอของผู้จัดการฝ่ายต่างๆ ความรู้ด้านคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงานจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
และสิ่งที่ควรคิดบางประการ คือ "สำหรับคนบางคนในงานบางประเภท
การมีประสบการณ์ 10 ปี แต่ทำงาน อย่างเดียวกันทุกปีซ้ำกันถึง 10 ปี
อาจจะไม่มีคุณค่าทางประสบการณ์ดีกว่าผู้ที่มีประสบการณ์ 1 ปี ก็ได้"<br />
5. คุณสมบัติของผู้สรรหา(Recruiter qualification)
นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระบวนการสรรหาเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
ผู้สรรหาจะทำหน้าที่ได้ดีเพียงไรขึ้นอยู่กับเขามีคุณสมบัติตามที่กำหนดหรือ
ไม่<br />
<strong>วิธีการสรรหา (Channels of Recruitment)</strong><br />
1. การมาสมัครงานด้วยตนเอง (Walk- in) <br />
2. การเขียนจดหมายมาสมัครงาน (Write- in) <br />
3. การแนะนำของพนักงานในองค์การ (Employee referrals) <br />
4. การโฆษณา (Advertising) <br />
5. กรมแรงงาน (Department of Labour) <br />
6. หน่วยงานจัดหางานของเอกชน (Private Placement Agencies) <br />
7. สถาบันการศึกษา ( Educational Institutions) </span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-92158152473581875002014-05-25T08:14:00.001-07:002014-05-25T08:14:27.423-07:00ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง<span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;">รูปแบบหรือระบบการจัดการสินค้าคงคลังเมื่อแบ่งตามข้อจำกัดในการสั่งซื้อว่าสามารถที่จะสั่งซื้อสินค้าซ้ำได้อีกหรือไม่ในกรณีที่ความต้องการสินค้าจริงมีมากกว่าปริมาณที่สั่งมาในครั้งแรก จนทำให้มีสินค้าไม่พอใช้หรือไม่พอขายนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระบบ ได้แก่</span><br />
<span style="font-family: Lucida Sans, Tahoma, Arial;"><span style="background-color: white; margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBrRA4xAMARuXEpuvHBOfkMUzS1C8jqmlYaZV3N3wvLbk0Re9ayN-c_ynwyvc5HLv4T5Xukvb1MbpBTAiU4S_Moy3gF5C4Ay77thqm1hZX9AIZrKwu7bX9cbBCm2XOAtxbwwOUobmaXuE/s1600/spd_20070405182946_b.jpg" height="196" width="320" /></span></span><br style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;" /><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"> 1. Multi Period Inventory Model เป็นระบบที่สามารถสั่งซื้อสินค้าคงคลังมาเพิ่มได้ หากสั่งสินค้ามาน้อยเกินไปจนมีสินค้าไม่พอขาย ในทางตรงกันข้ามหากสั่งสินค้ามามากเกินไปจนมีสินค้าเหลือก็สามารถเก็บไว้ขายได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีความเสียหายหรือไม่มีข้อจำกัดด้านช่วงเวลาในการใช้หรือขายสินค้ามากนัก ระบบการจัดการสินค้าคงคลังแบบนี้สามารถใช้ได้กับสินค้าส่วนใหญ่ทั่ว ๆ ไป เช่น เครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน สบู่ แชมพู ยาสีฟัน อาหารกระป๋อง เครื่องนุ่งห่ม อะไหล่รถยนต์ ฯลฯ</span><br style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;" /><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"> 2. Single Period Inventory Model เป็นระบบที่สามารถสั่งสินค้าคงคลังได้เพียงแค่ครั้งเดียว หากสั่งสินค้ามาน้อยเกินความต้องการของลูกค้าก็จะไม่สามารถสั่งเพิ่มได้อีก (หรือสั่งมาเพิ่มได้ไม่ทันความต้องการของลูกค้า) ทำให้เสียโอกาสในการขาย </span><br style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;" /><span style="background-color: white; font-family: 'Lucida Sans', Tahoma, Arial;"> ในทางตรงกันข้ามหากสั่งสินค้ามามากเกินความต้องการจนใช้หรือขายไม่หมดเหลือเป็นสต็อกก็จะเกิดเป็นความเสียหายหรือต้นทุนจากการสั่งสินค้าคงคลังมากเกินไป เช่น สินค้าหมดอายุ เสื่อมความนิยม หมดคุณค่า ฯลฯ ระบบการจัดการสินค้าคงคลังแบบนี้มักใช้กับสินค้าที่มีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น ตัวสินค้าเองมีอายุการใช้งานในช่วงสั้น ๆ หรือความต้องการของลูกค้ามี</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
เพียงช่วงสั้น ๆ หรือเป็นเทศกาลmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-11227755231010882592014-03-31T07:42:00.002-07:002014-03-31T07:46:40.096-07:00การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด (Analyze the Social Marketing Environment) ในขั้นนี้เป็นขั้นของการกาหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะส่งผลต่อความสาเร็จและความล้มเหลวของแผน ตลอดจนการศึกษาแผนการตลาดเพื่อสังคมอื่นๆ ในอดีต ทั้งนี้เพื่อนาข้อมูลมาใช้ในการกาหนดกลุ่มเป้าหมาย<br />
<br />
2) การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Select Target Audiences) ขั้นตอนนี้จะเป็นการแบ่งส่วนตลาดและทาการเลือกส่วนตลาดที่มีศักยภาพ<br />
3) การกาหนดวัตถุประสงค์ (Set Objectives) วัตถุประสงค์จะเป็นสิ่งที่นักการตลาดเพื่อสังคมต้องการให้กลุ่มเป้าหมายตอบสนองตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุประสงค์ในเชิงความรู้ ทัศนคติหรือพฤติกรรมก็ได้<br />
4) ทาการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย (Analyze Target Audiences) เพื่อให้เกิดความเข้าใจก่อนการดาเนินงานว่ากลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมอย่างไร กับประเด็นปัญหาที่ต้องการจะรณรงค์เพื่อจะนาไปสู่การออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสังคมในขั้นต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
5) การกาหนดกลยุทธ์ (Determine Strategies) ในขั้นนี้ นักการตลาดเพื่อสังคมจะทาการกาหนดกลยุทธ์ส่วนผสมทางการตลาดหรือ “4Ps” ได้แก่<br />
(1) ผลิตภัณฑ์ ซึ่งในการตลาดเพื่อสังคมจะหมายถึงแนวคิดทางการตลาดเพื่อสังคมที่ต้องการจะทาให้กลุ่มเป้าหมายปฏิบัติตาม<br />
(2) ราคา ซึ่งในที่นี้จะหมายความถึงต้นทุนในด้านเวลา พลังงาน หรือต้นทุนทางจิตใจมากกว่าจานวนเงิน โดยต้นทุนนี้จะเป็นต้นทุนของการทาให้กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในแนวทางที่พึงปรารถนาซึ่งควรจะต่ากว่าประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับ<br />
(3) การจัดจาหน่าย ซึ่งหมายถึงการทาให้ผลิตภัณฑ์หรือแนวคิดเชิงสังคมที่ต้องการรณรงค์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดโดยสะดวก ซึ่งโดยทั่วไปมักจะคานึงถึงในเรื่องของสถานที่และระยะเวลาในการดาเนินงานตามแผนการตลาดเพื่อสังคม<br />
(4) การส่งเสริมการตลาด อันหมายถึงการออกแบบสารและการเลือกสื่อที่เหมาะสมในการสื่อสารแนวความคิดทางสังคมที่ต้องการรณรงค์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ทราบเพื่อให้เกิดการตอบสนองไปในแนวทางที่พึงปรารถนา<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA-weYWxLYvsjjC5XqV0MvxONTXUl-sofNNmkF-3HsLV9e_NVZTlb2lbdaefTmWKdZmSzJI79jcEiVqG3Wyq51coL0YNwEyECImY4QRIbiFRy8rc9sQQy4jXTnc1TOlqDBsZN51lvu6cg/s1600/020709221.jpg" height="240" width="320" /></span></div>
<br />
<br />
6) การกาหนดวิธีการประเมินผล (Develop Evaluation and Monitoring Strategy) ในขั้นนี้จะเป็นการกาหนดว่าจะประเมินผลอะไร (What) และจะประเมินอย่างไร (How) ซึ่งคาถามแรกจะเป็นการประเมินตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ส่วนจะประเมินอย่างไรนั้น นักการตลาดเพื่อสังคมอาจเลือกใช้วิธีการเชิงปริมาณ (Quantitative Technique) หรือวิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative Technique) ด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มย่อย (Focus Groups) การสังเกต (Observation) หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) เป็นต้นmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-7653961983530368282014-02-10T08:21:00.004-08:002014-02-10T08:21:52.829-08:00 อุปทาน (Supply)<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> </span><strong style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> อุปทาน (Supply)</strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิตเต็มใจนำออกเสนอขาย ในตลาดภายในระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ กันของสินค้าและบริการนั้น โดยสมมติให้ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปทานคงที่ </span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">จากความหมายของอุปทาน จะเห็นได้ว่าอุปทานประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ</span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;" /><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> 1. ความเต็มใจที่จะเสนอขายหรือให้บริการ (willingness) กล่าวคือ ณ ระดับราคาต่างๆ ที่ตลาดกำหนดมาให้ ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการมีความยินดีหรือเต็มใจที่จะเสนอขายสินค้าหรือให้บริการตามความต้องการซื้อของผู้บริโภค </span><br style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;" /><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> 2. ความสามารถในการจัดหามาเสนอขายหรือให้บริการ (ability to sell) กล่าวคือ </span><strong style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">ผู้ผลิต </strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">หรือผู้ประกอบการ จะต้องจัดหาให้มีสินค้า หรือบริการ อย่างเพียงพอที่จะ ตอบสนองความต้องการซื้อของผู้บริโภค ณ ระดับราคาของตลาดในขณะนั้นๆ (สามารถเสนอขาย หรือให้บริการได้) เมื่อกล่าวถึงคำว่า </span><em style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">”อุปทาน “ </em><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">จะเป็นการมองทางด้านของผู้ผลิต ซึ่งตรงข้ามกับอุปสงค์ที่เป็นการมองทางด้านของผู้บริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ความสัมพันธ์ของราคาสินค้าที่มีต่ออุปทานของสินค้านั้นจะเป็นไปตามกฎของอุปทาน (Law of Supply) </span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"><br /></span>
<span style="background-color: white;"><strong style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">กฎของอุปทาน (Law of Supply)</strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> จะอธิบายถึงพฤติกรรมของผู้ผลิตในการแสวงหากำไรสูงสุด กฎของอุปทานกล่าวว่า “ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตเต็มใจจะนำออกขายในระยะเวลาหนึ่งขึ้นอยู่กับราคาสินค้านั้นๆ ในทิศทางเดียวกัน” กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น ปริมาณอุปทานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมากขึ้น เพราะคาดการณ์ว่าจะได้กำไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าลดลงปริมาณอุปทานจะน้อยลง เนื่องจากคาดการณ์ว่ากำไรที่ได้จะลดลง </span><strong style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"> </strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปทานจึงเป็นเส้นที่มีลักษณะที่ลากเฉียงขึ้นจากซ้ายไปขวา ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยตัวอื่นๆ ที่มีผลต่ออุปทานมีค่าคงที่</span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;"><br /></span>
<strong style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน</strong><br />
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;">การที่ผู้ผลิตจะนำสินค้าออกมาเสนอขายมากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากราคาของสินค้าชนิดจะเป็นปัจจัย ที่กำหนดแล้วยังมีอีกหลายปัจจัย ดังนี้</span></div>
<ul>
<li><span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;"><strong>ต้นทุนการผลิต</strong> การตัดสินใจในปริมาณการผลิตผู้ผลิตจะเปรียบเทียบระหว่างรายได้จากการขายสินค้ากับต้นทุน ในการผลิต ต้นทุนการผลิตมีผลต่อปริมาณการผลิตสินค้าโดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;"><strong>ราคาของสินค้า</strong>ชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งใดอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อ ปริมาณเสนอขายสินค้าอีกชนิดหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของสินค้า เช่น สินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;"><strong>สภาพดินฟ้าอากาศ</strong> สภาพดินฟ้าอากาศมีผลกระทบต่อปริมาณการเสนอขายสินค้าโดยเฉพาะสินค้าเกษตร สภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยจะส่งผลให้อุปทานสินค้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;"><strong>เทคโนโลยี </strong>ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทต่อการผลิตมาก การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการผลิตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปริมาณผลผลิตด้วย</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif;"><strong>นโยบายรัฐบาล</strong> ปริมาณเสนอขายสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ เช่น ถ้าจัดเก็บภาษีการค้าเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตอาจลดการผลิตลงเนื่องจากต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น เป็นต้น</span></li>
</ul>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-84602387196291948342014-02-10T08:19:00.001-08:002014-02-10T08:19:15.884-08:00กฎของอุปสงค์<div align="left" style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"> </span><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">กฎของอุปสงค์</span> (Law of Demand) กล่าวว่า ภายใต้ข้อสมมติว่า ปัจจัยตัวอื่นๆที่มีผลต่ออุปสงค์มีค่าคงที่ (other-things being equal) ปริมาณอุปสงค์ของสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งจะมี ความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม (ผกผัน) กับระดับราคาของสินค้าชนิดนั้น (inverse relation) กล่าวคือ เมื่อราคาลดลงปริมาณอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น และเมื่อราคาสูงขึ้นปริมาณอุปสงค์จะลดลง ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปสงค์จึงเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา (สินค้าปกติ) ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากผลรวมของ</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG4oQaVTMfSXeGg5So6D-t8UxoqaWQ8dSxzaBMj16yUzLDzUB_ADgSwVP960BTqHF4tHDmYzIE-yHNfC6zkHlrOa868hb2yJXwJhh4XyfjNx4LaTsHsF14u1PTPUsdRfiioFRo6VW5-tU/s1600/FlowGI.png" height="239" width="320" /></span></div>
<br />
<div align="left" style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> <span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">1. ผลทางด้านรายได้</span> (income effect) การที่ระดับราคาของสินค้าหรือบริการมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อระดับรายได้ที่แท้จริง (real income) ของแต่ละบุคคล กล่าวคือ เมื่อราคาสูงขึ้นคนเราจะรู้สึกว่าตนเองมีรายได้แท้จริงลดลง ทั้งๆที่รายได้ที่เป็นตัวเงิน (money income) มิได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เนื่องจากรายได้ที่เป็นตัวเงินจำนวนเท่าเดิมซื้อหาสินค้าหรือบริการได้ในจำนวนที่น้อยลง และในทางกลับกัน ถ้าราคาสินค้าลดลง รายได้ที่เป็นตัวเงินจำนวนเท่าเดิมก็ซื้อหาสินค้าหรือบริการได้ในจำนวนมากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่ามีรายได้ที่แท้จริงเพิ่มขึ้น </span></div>
<div align="left" style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> <span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">2. ผลทางด้านการทดแทน</span> (substitution effect) โดยทั่วไปคนเรามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่มีราคาลดลง ทดแทนสินค้าหรือบริการที่ราคาสูงขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่งลดลง ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าหรือบริการนั้นจะเพิ่มขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าราคาสูงขึ้นอุปสงค์จะลดลง</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-47794249600693980142014-02-10T08:15:00.002-08:002014-02-10T08:15:38.621-08:00 อุปสงค์ (demand)<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"><strong style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">อุปสงค์</strong></span> (demand) หมายถึงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคมีความเต็มใจที่จะซื้อ และสามารถซื้อหามาได้ในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดมาให้</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> จากความหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าอุปสงค์ที่มีประสิทธิผล (effective demand) ประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ คือ </span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"> </span><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">1. ความต้องการซื้อ</span> (wants) ลำดับแรกผู้บริโภคจะต้องมีความอยากได้ในสินค้าหรือบริการเหล่านั้นก่อน อย่างไรก็ตาม การมีแต่ความต้องการไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ เพราะอุปสงค์จะต้องเป็นความต้องการที่สามารถซื้อได้และเกิดการซื้อขายขึ้นจริงๆ</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"> </span><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">2. ความเต็มใจที่จะจ่าย</span> (willingness to pay) คือการที่ผู้บริโภคมีความยินดีที่จะยอมเสียสละเงินหรือทรัพย์สินที่ตนมีอยู่เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการต่างๆเหล่านั้นมาเพื่อใช้ในการบำบัดความต้องการของตน</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"> </span><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">3. ความสามารถที่จะซื้อ</span> (purchasing power or ability to pay) ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ คือไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความอยากได้หรือความต้องการในสินค้าหรือบริการมากน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าปราศจากความสามารถที่จะซื้อหรือจัดหามาแล้วการซื้อขายจริงๆจะไม่เกิดขึ้น นั่นคือ จะเป็นแต่เพียงความต้องการที่มีแนวโน้มจะซื้อ (potential demand) เท่านั้น</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> ซึ่งความสามารถที่จะซื้อโดยปกติจะถูกกำหนดจากขนาดของทรัพย์สินหรือรายได้ที่บุคคลนั้นมีหรือหามาได้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ถ้ามีรายได้หรือทรัพย์สินมากความสามารถ ที่จะซื้อจะมีสูง ถ้ามีน้อยก็จะมีความสามารถซื้อต่ำ ประเภทของอุปสงค์</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> <span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">1. อุปสงค์ต่อราคา</span> (price demand) เป็นความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการที่สามารถซื้อได้ ณ ระดับราคาต่างๆของตลาด ตามความหมายที่กล่าวไว้แล้ว</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;"> <span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">2. อุปสงค์ต่อรายได้</span></span> (income demand) เป็นความต้องการซื้อที่สามารถซื้อได้ ณ ระดับรายได้ต่างๆของผู้บริโภคนั้นๆ</span></div>
<div style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box; font-family: 'Open Sans', sans-serif; line-height: 19.5px; margin-bottom: 2px; margin-top: 2px; padding: 10px 0px;">
<span style="background-color: white;"> <span style="border-bottom-left-radius: 0px !important; border-bottom-right-radius: 0px !important; border-top-left-radius: 0px !important; border-top-right-radius: 0px !important; box-sizing: border-box;">3. อุปสงค์ไขว้</span> (cross demand) หรืออุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น เป็นความต้องการซื้อที่สามารถซื้อได้ของสินค้าชนิดหนึ่งต่อราคาสินค้าอีกชนิดหนึ่ง ตัวอย่างเช่น อุปสงค์ของปากกาต่อราคาของยางลบ หรืออุปสงค์ของกาแฟต่อราคาของน้ำตาล ฯลฯ</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-56268640358931618712014-02-10T08:14:00.000-08:002014-02-10T08:14:01.180-08:00เทคนิควิศวกรรมอุตสาหการในการลดและควบคุมต้นทุนการผลิต<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
<strong>เทคนิควิศวกรรมอุตสาหการในการลดและควบคุมต้นทุนการผลิตเทคนิควิศวกรรมอุตสาหการในการลดและควบคุมต้นทุนการผลิต ประกอบด้วย</strong></div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
1. เทคนิควิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) V E ต้องดูความสัมพันธ์ของ 3 ตัวแปร คุณค่า หน้าที่การทำงาน ลดต้นทุน (V / F/ C)</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
2. เทคนิคการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ดำเนินการตามแนวคิดของ มูส มี 6 ขั้นตอน</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
3. ขั้นตอนการเลือกโครงการหรือเป้าหมาย</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
4. การรวบรวมข้อมูล</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
5. การวิเคราะห์หน้าที่การทำงาน</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
6. สร้างสรรค์ความคิดเพื่อปรับปรุง</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
7. ประเมินผลความคิด ประเมินถึงความเป็นไปได้</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
8. ขั้นตอนการพิสูจน์หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านคุณภาพ ประกอบด้วยทุกฝ่าย เช่น /ฝ่ายการตลาดหากลยุทธ์ในการครองตลาด / ฝ่ายออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด / ฝ่ายจัดซื้อต้องจัดหาวัตถุดิบให้มีมาตรฐานของวัตถุดิบ / ฝ่ายผลิตแรงงานมีการพัฒนาอบรมอยู่หรือไม่ / ฝ่ายควบคุมคุณภาพต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าเป็นอย่างดีก่อนที่จะถึงมือลูกค้า / ฝ่ายจัดเก็บและส่งสินค้าเมื่อมีการจัดเก็บคุณภาพของสินค้ายังคงมีคุณภาพดีเช่นเดิม</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
9. เทคนิคการวางแผนและควบคุมการผลิต (Production Planning & Control)</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
10. เทคนิคการบริหารวัสดุคงคลัง (Inventory Management) มีการดำเนินการบริหารวัสดุคงคลัง การผลิตดีมีคุณภาพ การขายต้องดีด้วย ไม่ใช่เพียงแค่เน้นลูกค้าอย่างเดียว </div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
11. เทคนิคการศึกษางาน (Work Study) หลักการที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ Work Smart ไม่ต้องเสียกำลังมากด้วยวิธีการง่ายๆ การศึกษางานจะช่วยได้ โดยจะพิจารณาจากวิธีการทำงานของพนักงานแต่ละคน ว่าทำงานดีขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง แต่ผลงานมากขึ้น เทคนิคศึกษางานนี้ช่วยให้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี เกิดความสำเร็จขึ้นมา มีทัศนคติที่ดี แก้ไขได้</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
12. เทคนิคการบริหารงานบำรุงรักษา (Maintainance Management) โรงงานหลายแห่งมีปัญหาเครื่องจักรเสียบ่อย เรามีวิธีการบำรุงรักษาแบบไหน มีการวางแผนล่วงหน้าหรือไม่ มีวิธีการป้องกันหรือไม่ มีการซ่อมเปลี่ยนอะไหล่เครื่องจักรเป็นไปตามคู่มือหรือไม่ คู่มือสำคัญให้เป็นไปตามการซ่อมบำรุง คนที่รับผิดชอบต้องดูแล Fix Time Maintainance เป็นเรื่องสำคัญ Condition Base Maintainance สำคัญเช่นกัน ซึ่งจะไม่ทำให้แผนการผลิตเสียหาย</div>
<div style="font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 16.899999618530273px; margin-bottom: 10px;">
13. เทคนิคการประหยัดพลังงาน (Energy Saving) เป็นเทคนิคที่สำคัญยิ่ง ในการลดต้นทุน เช่น อาจจะมีการว่าจ้างที่ปรึกษาการประหยัดพลังงาน มาเขียนแผนและมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ บางครั้งอาจจะไม่ต้องลงทุน แต่ใช้จิตสำนึกแทน มีโครงการเพื่อการลดต้นทุนด้วยการประหยัดพลังงานของ SMEs ที่มีงบประมาณอุดหนุนอยู่</div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-552963903747844342014-02-10T08:11:00.002-08:002014-02-10T08:12:43.181-08:00วัตถุดิบ (material) <span style="background-color: white;"><b style="font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; line-height: 24.64000129699707px;">วัตถุดิบ (material) </b><span style="font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; line-height: 24.64000129699707px;">เป็นวัสดุหลักที่นำถูกนำมาใช้ในการผลิตโดยตรง ส่วนมากจะประกอบอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์ ดังนั้นต้นทุนการผลิตจึงประกอบด้วยวัตถุดิบที่ใช้ เช่น โรงงานผลิตขวดพลาสติก วัสดุดิบหลักที่ใช้ก็คือพลาสติก, โรงงานผลิตยางรถยนต์ วัตถุดิบที่ใช้คือยางพารา, โรงงานผลิตเสาคอนกรีตสำเร็จรูป วัตถุดิบหลักคือ ปูนซิเมนต์และเหล็ก เป็นต้น. วัตถุดิบที่ยกตัวอย่างมาเป็นวัตถุดิบหลักหรือที่เราเรียกว่า “วัตถุดิบทางตรง” เป็นวัสดุที่แปรผันกับการผลิตโดยตรงตามอัตราส่วนในสูตรการผลิต สามารถคำนวณได้ตามชิ้นงานที่ผลิต ซึ่งนับว่าเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ อัตราส่วนของต้นทุนการผลิตต่อราคาขายนั้นจะขึ้นอยู่กับกิจการและลักษณะของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท ตามประสบการณ์ที่ผมเจอมา ในอุตสาหกรรมประเภทการผลิตเครื่องมือ, การแปรรูปชิ้นส่วน (machining) ต้นทุนการผลิตของวัตถุดิบหลักอยู่ที่ประมาณ 30 – 50%</span><br style="font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; line-height: 24.64000129699707px;" /><span style="font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; line-height: 24.64000129699707px;">นอกจากนี้วัตถุดิบยังประกอบด้วย “วัตถุดิบทางอ้อม” หรือพวกค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่นๆ ที่ไม่ได้แปรผันกับการผลิตโดยตรง เช่น ถุงมือ, ผ้าเช็ดมือ, กาว, ตะปู,ลวดเชื่อม โดยต้นทุนการผลิตส่วนนี้จะถูกนำไปจัดไว้ในค่าโสหุ้ย</span></span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-20601410947773573542014-02-10T08:10:00.005-08:002014-02-10T08:10:58.959-08:00การวิจัยตลาด (Market Research) <div style="font-family: Tahoma;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">การทำวิจัยตลาดนั้นเราสามารถแบ่งการวิจัยออกเป็นหลายขั้นตอน ดังนี้</span><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="background-color: white;"><b><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">1. <span lang="TH">การกำหนดปัญหา </span>(Defining Problems)</span></b><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> ขั้นตอนแรกเป็นการระบุปัญหาว่าคืออะไรเสียก่อน ในบางครั้งผู้บริหารมีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ แต่ก็ไม่รู้ว่าความผิดพลาดนั้นคืออะไร ซึ่งจะต้องหาทางแก้ปัญหาโดยบริษัทจะต้องมีการตั้งปัญหาให้คำจำกัดความ โดยอาจจะจัดแบ่งปัญหาตามลักษณะงาน ตามโครงสร้างของบริษัท หรือตามลักษณะของส่วนประสมทางการตลาด </span><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">(Marketing Mix)<span lang="TH"> เมื่อสามารถแบ่งปัญหาตามส่วนต่างๆ ได้แล้ว ก็ย่อมจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง และตรงจุด</span></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="background-color: white;"><b><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">2. <span lang="TH">การเลือกแหล่งข้อมูล </span>(Selecting Information Sources)</span></b><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> เมื่อพบลักษณะของปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การพิจารณาถึงแหล่งข้อมูลที่จะให้คำตอบในการแก้ปัญหานั้น ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน </span><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">2 <span lang="TH">แหล่ง คือ</span></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt 1cm; text-indent: -14.15pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">2.1 <span lang="TH">แหล่งปฐมภูมิ </span>(Primary Data Sources)</span><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> คือแหล่งข้อมูลเบื้องต้น เช่น จากลูกค้า หรือจากผู้ใช้บริการของบริษัทโดยตรง ในการเก็บข้อมูลอาจทำได้โดย วิธีการสังเกต</span><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">(Observe) <span lang="TH">ค้นคว้า </span>(Survey) <span lang="TH">การทดลอง </span>(Experiment) <span lang="TH">สอบถาม สัมภาษณ์ เช่น การสำรวจความคิดเห็น ทัศนคติของลูกค้า</span></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt 1cm; text-indent: -14.15pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">2.2 <span lang="TH">แหล่งทุติยภูมิ </span>(Secondary Data Sources)</span><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> คือการที่นำเอาข้อมูลที่มีผู้ค้นคว้าไว้แล้วนำมาใช้ อาจจะเป็นข้อมูลจาก รายงาน หนังสือ สิ่งตีพิมพ์ต่างๆ หรือนำเอาข้อมูลปฐมภูมิมาใช้ วิธีนี้ทุ่นเวลา และค่าใช้จ่าย แต่ข้อมูลที่ได้จะไม่ค่อยถูกต้องตามความต้องการ</span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="background-color: white;"><b><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">3. <span lang="TH">การเตรียมการรวบรวมข้อมูลและวัสดุที่จะใช้กับข้อมูล </span>(Research Materials)</span></b><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> <span lang="TH">ถ้าหากมีความต้องการข้อมูลแบบปฐมภูมิ ขั้นแรกต้องออกแบบสอบถามเสียก่อน แล้วทำการทดสอบข้อมูล จัดหาพนักงานเก็บข้อมูล อบรมการเก็บข้อมูล และเทคนิคต่างๆ เพื่อขจัดความคลาดเคลื่อนให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อความถูกต้องของข้อมูลที่จะได้มา</span></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px;">
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="background-color: white;"><b><span style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;">4. <span lang="TH">การกำหนดตัวอย่าง </span>(Designing Samples)</span></b><span lang="TH" style="font-size: 10pt; line-height: 15.333333015441895px;"> คือ การเลือกสุ่มตัวอย่างวิธีใดจึงจะเหมาะสมที่สุด</span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3833150296098174143.post-91974791994166699832013-12-09T07:09:00.000-08:002013-12-09T07:09:17.921-08:00ประโยชน์ของการวางแผนกลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ <div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">การวางแผนกลยุทธ์ทางด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่เหมาะสม
สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ขององค์กร เมื่อนำแผนกลยุทธ์นั้นไปปฏิบัติจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลาย
ๆ แนวทาง ดังต่อไปนี้</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">1. <span lang="TH">เป็นการวางแผนการทำงานเชิงรุกที่ต้องคิดไปข้างหน้า</span><o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">ที่ได้กล่าวมาแล้ว
กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์
เป็นกระบวนการทำงานเชิงรุกที่ต้องคิดไปข้างหน้า ซึ่งการปฏิบัติงานที่มีการกำหนดทิศทางเอาไว้ล่วงหน้าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการทำงานเชิงรับที่คอยแก้ปัญหาเฉพาะไปในแต่ละวัน</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">2. <span lang="TH">เป็นการกำหนดเป้าหมายของการจัดการทรัพยากรมนุษย์</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">แผนกลยุทธ์ทางด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์
จะบอกให้ทราบได้ว่าองค์กรมีเป้าหมาย หรือแนวทางในการจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างไร
ซึ่งจะเป็นทิศทางให้การวางแผนปฏิบัติมีรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">3. <span lang="TH">การกำหนดกลยุทธ์เป็นกระบวนการทำงานที่ต้องใช้ความคิดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">กระบวนการวางแผนกลยุทธ์จะต้องคอยตรวจสอบวิธีการทำงานอยู่ตลอดเวลาว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
หรือจะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง กลยุทธ์อย่างไรบ้าง
ซึ่งขั้นตอนการปฏิบัติงานเหล่านี้จะต้องใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
และต้องการความคิดที่หลากหลาย</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><u><strike><img border="0" height="228" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1KB4xIrcPZu_pYGlqcgWPmTxjSaDAHEIiZ8n35nCX6eACLFmCvvIgRftqqEuZrwyRdNEQNG1p7tvI4Jp9dNHVh-0VZw26_P6AiuW6heHfGerQcwH1nG8fTuUswk_sYn7IaFZLnxb0EuU/s320/T2010-12-03102404.jpg" width="320" /></strike></u></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">4. <span lang="TH">เป็นการกำหนดจุดอ่อน จุดแข็ง</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">ขั้นตอนของการวางแผนกลยุทธ์
จะต้องมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ซึ่งจะทำให้องค์กรทราบได้ว่าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรมีจุดอ่อน
จุดแข็ง เป็นอย่างไรบ้าง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรต่อไป</span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">5. <span lang="TH">สร้างการมีส่วนร่วมของผู้บังคับบัญชาตามสายงาน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรจะไม่ประสบความสำเร็จเลยถ้าปราศจากการมีส่วนร่วมของผู้บังคับบัญชาตามสายงาน
การวางแผนกลยุทธ์จะช่วยกำหนดบทบาทที่ชัดเจนในเรื่องของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ระหว่างหน่วยงานการบริหารทรัพยากรมนุษย์กับ
หน่วยงานอื่น ๆ ตามแนวคิดที่ว่า </span><span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">" <span lang="TH">ผู้บังคับบัญชาตามหน่วยงาน จะต้องเป็นผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ของหน่วยงานนั้น
ๆ </span>"<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">6. <span lang="TH">สร้างความรู้สึกร่วม ความสามัคคี</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">
</span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;">การวางแผนกลยุทธ์จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมระดมความคิด
บอกปัญหา บอกความต้องการ เป็นต้น
ซึ่งจะเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติจะได้รับความร่วมมือร่วมใจอย่างเต็มที่
แผนกลยุทธ์นั้น ๆ ก็จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<span style="font-family: "Angsana New"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0